Welcome to Lao Bhudda vong home!!!!

King's Words 3

Luangpor Teean Jittasubho
Blank page
For Lao Reader
AJARN SUJIN
Dad & Abhidhamma
Buddha, Dhamma, Sankha
Tipitaka List
Tipitaka Sutta
Dhamma Dictionary
Visakha Day
For New Buddhist Monk
King's Words
For My Parents
About Me
MY Family
My Children Pictures
Favorite Links
Listen to Dhamma!!!
My Favorites Songs
Contact Me

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น…
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น…
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น…

ทางสายกลาง 

     ทางสายกลางหรือมรรคมีองค์ 8 ประการ สิ่งได้กล่าวไปแล้วในเรื่องอริยสัจ 4 ที่เอามากล่าวซ้ำในที่นี้ก็เพราะว่าต้องการที่จะขยายความของการปฏิบัติในทางสายกลาง 8 ประการนี้ว่า จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เปรียบเหมือนกับเราตั้งสายพิณ ถ้าตั้งหย่อนเกินเสียงก็จะต่ำ หากตั้งตึงไปเสียงก็จะสูง ฟังไม่ไพเราะ ดังนั้นจึงต้องตั้งกลางๆ ไว้เสียงจึงจะไพเราะ

     ฉะนั้นในการปฏิบัติอะไรก็ตามก็ต้องทำตามหลักทางสายกลาง ไม่มากจนเกินไป หรือน้อยเกินไป คือจะต้องรู้ความพอดีในสิ่งนั้นๆ ว่าอยู่ตรงไหน คือรู้ในเหตุ รู้ในผล รู้ในประมาณ รู้ในกาล รู้ในสังคม รู้ในบุคคล หากไม่รู้จักความพอดีของตนเองแล้วย่อมจะทำให้ผิดทางได้ อย่างเช่น บางคนทำบุญทำทานจนไม่รู้จะทำอะไรอีกแล้ว สร้างโน่นสร้างนี้ก็แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะเป็นโรคเส้นประสาทบางคนก็มัวเมาในการทำบุญ ต่างหวังมุ่งจะเอาบุญหรือขึ้นสวรรค์จนทำให้ครอบครัวเดือดร้อน บางคนก็ติดศีลรักษาศีลอย่างงมงายหรือทำสมาธิจนต้องส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิต ก็เพราะว่าไม่รู้จักเดินในสายกลางนั่นเอง ถ้าหากเราเข้าใจในความพอเหมาะพอดีแล้วถึงไม่มีใครบอกเราก็จะรู้เองว่า ตรงไหนกลาง ตรงไหนซ้าย ตรงไหนขวา ไม่มีการเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวาอีกต่อไป

     สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในการประพฤติปฏิบัติหรือศรัทธาในสิ่งต่าง ๆ จะต้องควบคู่ไปกับปัญญาอยู่เสมอ หากไม่ควบคู่ไปกับปัญญาแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติเหล่านั้นก็จะเป็นการปฏิบัติแบบผิดๆงมงายไร้เหตุผล ถึงเมื่อปล่อยนานไปก็จะยึดติดแน่นจนไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ อันจะเป็นผลเสียได้ในอนาคต

     ฉะนั้นการจะคิดจะทำหรือรับฟังในสิ่งต่างๆ นั้น เราควรจะนำมาไตร่ตรองถึงเหตุผล ผลดี ผลเสีย หากมีผลดีก็นำไปปฏิบัติต่อไปได้ แต่ถ้าหากมีผลเสียไม่ควรนำมาปฏิบัติต่อไป ดังพระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
 
“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด เป็นผู้ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบปฏิบัติตามธรรมะอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่า สักการะ เคารพนับถือ บูชาตถาคต ด้วยการบูชาอันสูงสุด”

     ดังนั้นการบูชาอันสูงสุดต่อพระพุทธเจ้า ก็คือการปฏิบัติบูชา คือการทำจริง ในสิ่งที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว เข้าใจแล้วและทำกาย วาจา ใจ ของเราให้เป็นธรรมะ อีกทั้งทำกาย วาจา ใจของเราให้เป็นพระ เราก็จะมีความสุข ความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความเดือดร้อน ในทางจิตใจ โดยการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยหลักธรรม 5 ประการ ดังนี้คือ

     1. มีความเชื่อถูกทางตามแนวพระพุทธเจ้า
     2. รักษศีล
     3. ไม่ถือมงคล ตื่นข่าว ไม่เชื่องมงาย
     4. ไม่แสวงหาบุญนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า
     5. บำเพ็ญบุญตามแบบฉบับในพระพุทธเจ้า
 
 บทสรุป

     พุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่คัมภีร์ ไม่ใช่เสียงบอกเล่าตามพระไตรปิฎกหรือพิธีรีตองต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ของพระพุทธศาสนาก็คือ ตัวการปฏิบัติด้วย กาย วาจาใจ ที่จะทำลายกิเลสให้หร่อยหรอหรือสิ้นไป ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตองสิ่งของภายนอก เช่น ผีสาง เทวดาหรืออื่นๆ แต่ต้องอาศัยด้วย กาย วาจา ใจ โดยตรงคือ จะต้องบากบั่นพยายามกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจนเกิดความรู้แจ่มแจ้งสามารถทำอะไรให้ถูกต้องด้วยตนเอง เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งกว้างศอก ยาววา หนาคืบ เพียงแต่ว่าเราจะสามารถค้นหาสัจธรรมเหล่านั้นเจอหรือไม่เท่านั้นเอง  และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ พุทธศาสนานั้นมุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์เท่านั้นถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธและไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย

     ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่าอะไรเป็นจริง อะไรไม่เป็นจริง เราก็ย่อมจะไม่ปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง เมื่อปฏิบัติถูกแล้วก็เป็นอันแน่วแน่ว่าความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น หากเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เราก็ปฏิบัติผิดความทุกข์ก็เกิดขึ้น เมื่อรู้ว่าว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรจริงแล้วความเบื่อหน่าย คลายความอยากและความหลุดพ้นจากทุกข์ ย่อมจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

     พุทธศาสนาบอกให้เรารู้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน มีแต่การปรุงแต่งกันไปและมีความทุกข์รวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะความไม่มีอิสระจึงต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุ จะไม่มีความทุกข์ก็ต่อเมื่อหยุด จะหยุดได้ก็ต่อเมื่อดับเหตุเพื่อไม่ให้มีการปรุงแต่งได้ การบอกนี้คือการบอกใหู้ร้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมายาอย่าไปหลงยึดถือจนชอบหรือไม่ชอบ เมื่อทำจิตใจให้เป็นอิสระได้จริง ๆ เราก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะความชอบหรือความไม่ชอบอีกต่อไป

     ส่วนเรื่องทางสายกลางนั้น เรามีคาถาให้บทหนี่ง คือ รู้จัก พอ คำ 3 คำนี้เป็นคาถาสำหรับคนโดยทั่วไปได้นำไปปฏิบัติแล้วก็จะไม่มีทุกข์ อยู่ในสังคมนี้ด้วยอาการสงบ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น มีชีวิตอยู่อย่างสบายไม่ดิ้นรนต่อความอยากต่างๆ และมีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ตามอัตภาพของแต่ละคน

     เรื่องการ รู้ จัก พอ นี้ ขอขยายความอีกนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจ เพราะมีบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจในความหมายของคำว่า รู้จัก พอ คำนี้ไม่ได้หมายความว่าในชีวิตนี้ไม่ขอเอาอะไร และไม่ดิ้นรนอะไร ขออยู่อย่างสงบไม่วุ่นวายใคร แต่ความหมายจริงๆ แล้วมันไปคนละเรื่องเลย คือ หากเรามาสังเกตดูว่าคนในปัจจุบันนี้ที่มีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวาย ก็เพราะว่าเราไม่รู้จักพอในเรื่องต่างๆเช่น บางคนมีเงินร้อยล้านพันล้าน ยังไม่พอใจอีกยังอยากจะมีมากกว่านี้ขึ้นไปอีก จึงทำให้ตัวเองมีแต่ความทุกข์ ต้องมาคิดหาวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งเงินทอง หากไม่ได้ตามที่ตนเองหวังหรือขาดทุนก็เป็นทุกข์อีก บางคนมีตำแหน่งอยู่แล้วก็ยังอยากจะได้ตำแหน่งให้สูงขึ้นอีก โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่จะได้มาว่าจะถูกผิดอย่างไร จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมนี้มีแต่ความวุ่นวาย สับสน จากสิ่งที่กล่าวมานี้เราพอที่จะเห็นว่าหากเรามีความพอดีหรือ รู้ จัก พอ ในสิ่งต่างๆในชีวิตของเราแล้ว อดีตของเราก็จะมีแต่ความสุขสงบ ไม่มีทุกข์อีกต่อไป
 

พอไม่เป็น เย็นไม่ได้ ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี
จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
ถ้ามีความพอดี จะเป็นเศรษฐีในเรือนกระจก
ถ้ามีแต่ความงก จะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี


NEXT PAGE

Enter supporting content here